11/2/52

Wonder of Africa


7 สิ่งมหัศจรรย์ในทวีป Africa


ชื่อสถานที่
หอประภาคารโรส : The Lighthouse of Alexandria (Pharos)

สถานที่ตั้ง
เกาะฟาโรส เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์

ปัจจุบัน
ไม่เหลือซาก

ประภาคารนี้ทำด้วยหินอ่อนสีขาวสลีกลวดลาย วิจิตรงดงาม ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน ท่าเรือของเกาะฟาโรส สร้างในสมัยพระเจ้าปโตเลมีที่สองของอียิปต์ช่วงปี 270 ปีก่อนคริสตกาลสิออกแบบโดยสถาปนิกชาวกรีกชื่อโซสตราโตส


ตามหลักฐานคาดว่าประภาคารนี้สูงถึง 440 ฟุต หรือ 134 เมตร ช่วงล่างเป็นรูปสี่เหลี่ยม ช่วงกลางเป็นรูปแปดเหลี่ยม และช่วงบนเป็นทรงกลม ยอดบนสุดกของประภาคารนี้ มีภาชนะสำหรับใส่ถ่าน ซึ่งลุกโชติช่วงทั้งวันทั้งคืนเพื่อเป็นไฟสัญญาณไฟบนยอดประภาคารนี้เห็นได้ไกลในทะเลเมดิเตอเรเนียนถึง 25 ไมล์ หรือ 40 กิโลเมตร และช่วงบนมีกระจกขนาดใหญ่ ตามตำนานเล่าขานกันมา กระจกนี้สะท้อน เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล ข้ามไปจนถึงภาคตะวันออกของทะเลเมดิเตอเรเนียนทและเอเชียไมเนอร์


ยังมีการเล่าต่อกันมาอีกว่ากระจกนี้ยังมอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชสำคัญสะท้อนแสงอาทิตย์ไปเผา เรือศรัตรูในทะเล เพราะเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาเหล่านี้ ทำให้ประภาคารแห่งเมืองอเล็กซานเดรียนี้มีชื่อเสียง เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก แม้ว่าไม่ใช่ประภารแห่งแรกในทะเลเมดิเตอเรเนียนแต่ก็เป็นอันที่ใหญ่ที่สุด ประภาคารนี้ได้ชื่อมาจากชื่อเกาะที่มันตั้งอยู่ คือธิฟาโรสชัและกลายมาเป็นชื่อเรียกประภาคารในภาษาต่าง ๆ


ประภาคารฟาโรสตั้งตระหง่านนำทางสัญจรของเรือเข้าสู่เมืองอเล็กซานเดรียมาเป็นเวลา 9000 ปี จนกระทั่งพวกอาหรับเข้ายึดครองเมือง ประภาคารก็ถูกรื้อทิ้งไป เล่ากันมาว่พวกอาหรับถูกสายลับซึ่งจักรพรรดิ แห่งคอนสแตนติโนเปิ้ลส่งมาหลอกลวงให้ทำลายประภาคารเสีย เพื่อไม่ให้ใช้มันเป็นประโยชน์ในการเดินเรือของพวกมุสลิม สายลับอ้างว่าข้างใต้ประภาคารมีขุมทรัพย์ฝังอยู่ แต่หลังจากประภาคารถูกทำลายไปแล้วพวกอาหรับถึงตระหนักว่าเสียรู้ ในช่วงนั้นกระจกขนาดใหญ่ก็หล่นร่วงลงมาและแตกละเอียดเป็นผุยผง มีบางส่วนของประภาคารหลงเหลือ และส่วนนี้ก็ยังคงมีอยู่ให้เห็นจนปี ค.ศ. 1375ยจนแผ่นดินไหวในเมืองอเล็กซานเดรียพังประภาคารชื่อดังก็ทลายลงมาจนสิ้นซาก













ชื่อสถานที่
ปิรามิดแห่งกิซ่า: The Great Pyramid of Egypt

สถานที่ตั้ง
เมืองกิซา ประเทศอียิปต์

ปัจจุบัน
สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70 ด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี


ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่ามหาปิรามิด


  • ฐานของปิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 570,000 ตาราง768 ฟุต บริเวณฐานปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว


  • ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร

สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิรามิดนี้อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของปิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต ใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หีบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง


ปิรามิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็นปิรามิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิด เล็กกว่ามหาปิรามิดเล็กน้อย คือสูง 460 ฟุต ช่วงบนของปิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว ปิรามิดไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง สูงแค่ 230 ฟุต นอกเหนือจากปิรามิดทั้งสามแล้วยังมี ตัวสฟิงซ์ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน โดยแกะสลักหินก้อนใหญ่เป็นรูปสิงโตหมอบอยู่แต่หน้าเป็นมนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังปิรามิดแห่งคีเฟรน














ชื่อสถานที่
สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย ( คาตาโคมป์ ) : Catacombs of Alexandria Egypt

สถานที่ตั้ง
เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์

ปัจจุบัน
สามารถเข้าเยี่ยมชมได้


สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย เป็นอุโมงค์ที่เก็บศพ และทรัพย์สมบัติของกษัตริย์อียิปต์โบราณ อุโมงค์ฝังศพนี้ มีชื่อเรียกว่า คาตาโคมบ์ (Catacombs) เป็นอุโมงค์ที่สร้างด้วย หินก้อนใหญ่ ๆ และ ขุดลึกลงไปเป็นชั้นๆ บางตอนลึกถึง 21 ถึง 24 เมตร (70-80 ฟุต) มีทางเดินกว้างถึง 1.2 เมตร (3-4 ฟุต) วกไปเวียนมา เป็นระยะทางหลาย ๆ กิโลเมตร ตามริมผนังของอุโมงค์เป็นช่อง ๆ ไว้ สำหรับเป็นที่ บรรจุศพ มีแท่นบูชาอยู่หน้าช่องบรรจุศพเหล่านั้น พร้อมตะเกียงดวงเล็กๆ แขวนไว้ บางส่วนของอุโมงค์ตกแต่งทั่ว ๆ ไปไว้อย่างวิจิตรงดงาม ปัจจุบันยังคงมีสภาพสมบูรณ์











มหัศจรรย์ สิ่งก่อสร้าง



ชื่อสถานที่
วิหาร อาบู ซิมเบล: Abu Simbel

สถานที่ตั้ง
เมืองอัสวาน ประเทศอียิปต์

ปัจจุบัน
สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

วิหาร อาบู ซิมเบล ( Abu Simbel )สร้างโดยฟาโรห์ Rames The Great ( Ramses II ) เป็นวิหารที่สร้างจากจินตนาการที่แปลก และสวยงามที่สุดในประวัติศาสตร์ของอียิปต์ห่างจากสนามบินอัสวานไปอาบู ซิมเบล ซึ่งห่างไปทางใต้ประมาณ 200 ไมล์ ใกล้เขตแดนประเทศซูดาน มีขนาดใหญ่มากสร้างขึ้นเมื่อปี 1270 BC หรือประมาณ 3260 ปีมาแล้ว โดยสกัดเจาะภูเขาย่อม ๆ ทั้งลูก ด้านหน้าหันไปทางตะวันออก ประกอบด้วย 2 วิหารด้วยกันคือ วิหารใหญ่ และวิหารเล็กวิหารใหญ่สร้างขึ้นสำหรับพระองค์เอง มีรูปหินแกะสลักของฟาโรห์ Ramses II นั่งบนบัลลังก์ 4 องค์ เรียงกันข้างละ 2 องค์ หันหน้าไปทางแม่น้ำ เพื่อแสดงถึงพลังและอำนาจของฟาโรห์ที่คอยดูแลปกป้องเหล่าเรือใบที่แล่นในแม่น้ำไนล์ ตรงกลางเจาะเป็นประตูทางเข้า ที่เท้าแกะสลักเป็นรูปพระมารดา พระราชินีและโอรสธิดาอีก 8 องค์ ยืนตรงเรียงสลับระหว่างเท้าง 8 เป็นแนวตลอด รูปพระเจ้าฟาโรห์ สูงถึง 20 เมตร สร้างไว้ขู่พวก Nubia ซึ่งเป็นพวกอาฟริกันผิวดำ ซึ่งเป็นเมืองขึ้นมิให้กระด้างกระเดื่อง ส่วนวิหารเล็ก สร้างอุทิศเพื่อมเหสี เนเฟอร์ทารี เพื่อทำการบวงสรวง เทพีฮาธอร์ อันเป็นเทพีแห่งดนตรีและความรักเปรียบเสมือนความรักระหว่างทั้ง 2 พระองค์


ตรงเหนือประตูทางเข้า The Great Hypostyle Hall มีรูปสลักของ เทพเหยี่ยว แต่ก็ไม่สมบูรณ์ นักเพราะส่วนเท้าขาดหายไป ด้านในเป็น หอศักดิ์สิทธิ์ สองข้างทางจะมีหินแกะสลัก เป็นรูปของ Ramses II ยืนตรงข้างละ 4 องค์ตั้งอยู่ ตามผนังเขียนประวัติด้วยภาษา Hieroglyphics ถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์ มีเสาขนาดใหญ่หลายต้นสลักเป็นรูปของฟาโรห์รามเสส แขนทั้งสองประสานกันอยู่ ที่หน้าอกถือแส้และคทา สูงถึง 10 เมตร เรียงรายอยู่สองฝั่งเพื่อค้ำจุนหลังคา บนเพดานหินมีการสลักรูปเทพโอริซิส ฝาผนังทุกด้าน ถูกแกะสลักเป็นรูปฟาโรห์รามเสสที่สอง ในอิริยาบทต่างๆในการรบ เช่น กำลังจะแทงหอก คร่อมอยู่เหนือศัตรู ฯลฯ


ห้องชั้นในสุดลึกจากประตูทางเข้ามา 65 เมตร มีรูปหินแกะสลัก 4 องค์ประดิษฐานอยู่ คือ เทพเจ้า Amon,Ramses II,Hamakis และ Ptah ในแต่ละปีจะมีอยู่ 2 วันคือวันที่ 21 มีนาคม และ 21กันยายน เวลา 5.58 น.แสงอาทิตย์จะส่องผ่านประตูทางเข้าเข้ามาส่องแสงไปที่ Amon และ Ramses II ก่อน แล้วจะค่อยๆเลื่อนไปที่ Hamakis จะส่องสว่างอยู่ประมาณ 20 นาที โดยจไม่มีแสงส่องไปที่ เทพเจ้า Ptah เลย เพราะเทพเจ้า Ptah คือเทพเจ้าแห่งความมืดในสมัยโบราณพระเจ้าฟาโรห์จะเสด็จมาอยู่ที่นี่พร้อมด้วยข้าราชบริพาร เพื่อประกอบพิธีกรรม เป็นงานใหญ่โตในสองวันนี้ ที่น่าทึ่ง คื่อ คนโบราณสมัยนั้นสามารถเจาะหินเป็นช่องจากประตุทางเข้าเป็นแนวตรงไปสู่ห้องที่ลึกที่สุดได้องศากับ ดวงอาทิตย์ส่องแสงใน 2 วันนั้นพอดีโดยไม่ผิดเลย


ออกมาข้างนอกเดินไปทางซ้ายจะมีวิหารที่สร้างไว้ติดๆ กันคือ วิหารที่ Ramses II สร้างเอาไว้เป็นอนุสรณ์แด่พระนาง Nefertari พระราชินีที่พระองค์รักและโปรดมากที่สุด เป็นรูปสลักของ ฟาโรห์รามเสสที่สองในท่ายืนสี่รูป สลับกับ รูปสลักของ ราชินีเนเฟอร์ทารี่ในท่ายืน อีกสองรูป ตรงตำแหน่งเท้า มีรูปสลักของโอรสและธิดาของทั้งสอง อันนี้ค่อนข้างแปลก การก่อสร้างไม่ว่าจะเป็นวิหาร หรืออนุสรณ์สถานต่างๆ ในสมัยโบราณมักจะเป็นของพระเจ้าแผ่นดินสร้างให้ตนเอง หรือสร้างให้เทพเจ้าเท่านั้น การสร้างให้ราชินีครั้งนี้ จึงเป็นกรณีพิเศษจริงๆ


แม้วิหารมีขนาดใหญ่ แต่ก็ถูกทรายจากทะเลทรายพัดมา กลบทีละเล็กละน้อยตลอดระยะเวลาพันๆ ปี จนมิด จนกระทั่งฝรั่ง นักท่องเที่ยวชาวสวิสมาค้นพบเข้าเมื่อปี ค.ศ. 1813 คือประมาณร่วม 189 ปี มาแล้ว และเมื่อราว ค.ศ. 1964 ก็หวิดจะสาบสูญอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้จะจมลงไปใต้น้ำ เพราะหลังจากอียิปต์สร้างเขื่อนกั้นน้ำอัสวานแล้ว น้ำในทะเลสาบนัสเซอร์สูงขึ้น ต้องหาสทางช่วยยกขึ้นหนีน้ำ องค์การยูเนสโกของสหประชาชาติ ได้ยื่นมือเข้ามาช่วย โดยใช้เงินถึง 40 ล้านดอลลาร์ จ้างคณะวิศวกร และคนงานออกแบบตัดวิหารออกเป็น 1,050 ส่วน แต่ละส่วนหนักเป็นสิบๆ ตัน แล้วยกขึ้นไปประกอบกันใหม่สูงจากระดับเดิมถึง 215 ฟุต โดยสร้างภูเขาเทียมรูปโดม (เป็นโพรงด้านใน) ด้วยคอนกรรีตเสริมใยเหล็กให้เมือนเดิมทุกประการ แล้วเอาชิ้นส่วนที่ตัดมาประกอบเข้าทั้งภายนอกและภายใน เหมือนจริงมาก แม้รอยต่อระหว่างชิ้นก็มองไม่เห็น
















ชื่อสถานที่
เขื่อนกั้นน้ำอัสวาน: Aswan High Dam

สถานที่ตั้ง
ประเทศอียิปต์

ปัจจุบัน
สามารถเข้าเยี่ยมชมได้


เขื่อนกั้นน้ำ Aswan High Dam ซึ่งสร้างโดยรัสเซียเมื่อปี ค.ศ.1960 และมาเสร็จตอนกลางปี ค.ศ.1968 ใช้เงินไปร่วมพันล้านเหรียญ เป็นเขื่อนขนาดยักษ์สูงถึง 365 ฟุต และยาว 3,280 ฟุต ขวางกั้นแม่น้ำไนล์ทั้งสาย ทำให้เกิดทะเลสาบ Lake Nasser ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกรียรติแก่ประธานาธิบดีของอียิปต์ Gamal Abdel Nasser เป็นทะเลสาบใหญ่มาก คือยาวถึง 200 ไมล์ และกว้าง 10 ไมล์ เรียกว่าในกระบวนทะเลสาบที่มนุษย์สร้างขึ้นแล้ว มันใหญ่เป็นที่สองของโลก(ที่หนึ่งคือทะเลสาบที่เกิดจากเขื่อน Kariba Dam กั้นแม่น้ำ Zambesi ในประเทศ Zambia)


เขื่อนอัสวานสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มผลผลิตทางเกษตร และเมื่อติดกตั้งเครื่อง Turbines 12 เครื่องเสร็จในปี ค.ศ. 1970 แล้วสามานรถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึงหมื่นล้านกิโลวัตต์ต่อปี ทำให้หมู่บ้านถึง 100 แห่งมีกระแสไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรก จึงพอเรียกได้ว่าดครงการเขื่อนกั้นน้ำแห่งนี้เป็นดครงการ "ลดความหิวโหย" ของชาวอียิปต์อย่างแท้จริง















ชื่อสถานที่
คลองสุเอซ: Suez Canal

สถานที่ตั้ง
ประเทศอียิปต์

ปัจจุบัน
สามารถเข้าเยี่ยมชมได้


คลองสุเอซเป็นคลองเดินเรือสินค้าติดต่อทางลัดระหว่างยุโรปกับเอเชีย ขุดตัดคอคอดจากเมืองปอร์ดซาอิดด้านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังเมืองสุเอซ ด้านทะเลแดง มีความยาว 101.04 ไมล์ กว้าง 200 ถึง 300 ฟุต ลึก 25 ถึง 30 ฟุต เริ่มขุดเมื่อ พ.ศ. 2402 เสร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ. 2412 สิ้นเงิน 17,000,000 ปอนด์ ช่วยย่นระยะทางที่เคยอ้อมทวีปแอฟริกาใต้ได้ 8,320 กิโลเมตร นายช่างวิศวกรผู้อำนวยการขุดคลองนี้คือ เฟอร์ดินัน เดอ เลสเซปส์ ชาวฝรั่งเศส นับเป็นคลองที่มีความสำคัญในทางการค้าและในทางยุทธศาสตร์ของโลกแห่งหนึ่ง

















มหัศจรรย์ ธรรมชาติ



ชื่อสถานที่
น้ำตกวิคตอเรีย: Victoria Falls


สถานที่ตั้ง
ครอบคลุมถึงสองประเทศ คือ ซิมบับเว และแซมเบีย


ปัจจุบัน
สามารถเข้าเยี่ยมชมได้


น้ำตกวิคตอเรีย (Victoria Falls) น้ำตกที่ใหญ่และสวยงามติดอันดับโลก



ผู้ค้นพบและนำมาเผยแพร่ให้ชาวโลกได้รับรู้ ก็คือ เดวิด ลิฟวิ่งสโตน ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1855จุดประสงค์ในการสำรวจนั้นเพื่อต้องการที่จะทราบว่าลำน้ำสายหนึ่งซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เหตุใดจีงหายเข้าไปในซอกรอยแยกของแผ่นดิน ลิฟวิ่งสโตนเริ่มเดินทางไปตามเส้นทางของแม่น้ำแซมเบซีเพื่อหาต้นกำเนิดของแม่น้ำสายนี้ หลังจากผ่านความยากลำบากมามากมาย ลิฟวิ่งสโตนก็เดินทางมาถึงเขตแองโกลา ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลด้านแอตแลนติก ในช่วงเดินทางกลับนั้น ลิฟวิ่งสโตนเดินทางลงมาตามลำน้ำเพื่อไปยังบริเวณชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก เขาก็ได้พบกับน้ำตกวิคตอเรีย ภายหลังอยู่ในแอฟริกาได้ 16 ปี หลังจากนั้นลิฟวิ่งสโตนจึงเดินทางกลับอังกฤษ แล้วเขาก็ได้แถลงความจริงออกมาว่า บริเวณภายในส่วนใหญ่ของทวีปแอฟริกานี้มิได้เป็นเพียงทะเลทรายเท่านั้น แต่ยังมีดินแดนที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ มีพื้นที่เป็นป่าและน้ำมากพอสมควร หลังจากที่ได้ค้นพบแล้ว เดวิด ลิฟวิ่งสโตน จึงได้ทราบว่า น้ำตกแห่งนี้เกิดจากภูเขาไฟระเบิดเมื่อ 150 ล้านปีที่ผ่านมา จนทำให้แผ่นดินบริเวณนี้แยกออกเป็นสองส่วน กลายเป็นน้ำตกอันยิ่งใหญ่ และเขาก็ได้ตั้งชื่อน้ำตกแห่งนี้ว่า "น้ำตกวิคตอเรีย"



น้ำตกวิคตอเรียมีความยาวถึงเกือบ 2 กิโลเมตร และมีเนื้อที่ครอบคลุมถึงสองประเทศ คือ ซิมบับเว และแซมเบีย น้ำตกแห่งนี้ไหลลงสู่แม่น้ำแซมเบซีที่เชี่ยวกราก ในช่วงที่มีปริมาณน้ำมาก น้ำตกนี้จะแย่งกันทะลักพวยพุ่งลงไปยังเบื้องล่างกระทบกับหินทำให้เกิดเสียงดังและมีฟองฝอยฟุ้งเป็นละอองน้ำ ดุจมีหมอกครื้มครอบคลุมไปทั่วบริเวณ และขณะเดียวกันจำนวนน้ำที่มาก ก็ทำให้เกิดเสียงดังกึกก้องสะท้านดุจเสียงคำรามของสัตว์ป่า ในบางจุดเกิดละอองน้ำที่พวยพุ่งขี้นสู่ท้องฟ้าได้ถึง 500 เมตร สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล ๆ ละอองน้ำแห่งนี้จึงได้รับสมญานามว่า "ควันซึ่งส่งเสียงร้องคำราม" ความลึกของน้ำตกแห่งนี้เริ่มตั้งแต่ 90-108 เมตร โดยเริ่มจากจุดแรก ที่เรียกว่า เดวิด คาทาแรคท์ (Devil's Cataract) ซึ่งบริเวณนี้จะมีแก่งในแม่น้ำหรือคาทาแรคท์อยู่ถัดออกไป และช่วงนี้จะเป็นช่วงสำคัญของน้ำตก


ถ้ามองไปทางด้านตะวันออกเมื่อยามพระอาทิตย์ปรากฏจะสามารถเห็นรุ้งกินน้ำได้อย่างชัดเจน และนับเป็นจุดที่สวยที่สุด โดยเรียกจุดนี้ว่า คาทาแรคท์ตะวันออก ใกล้ ๆ บริเวณนี้มีรูปปั้นของลิฟวิ่งสโตนตั้งอยู่ สายน้ำเหล่านี้จะไหลเรื่อยกลายเป็นแม่น้ำแซมเบซีซึ่งจะขยายใหญ่ขึ้นทุกที ๆ ผ่านช่องเขาบาโตกัวในลักษณะเชี่ยวกรากและรุนแรงจนมีผู้ตั้งชื่อเขตนี้ว่า "หม้อน้ำเดือด" (Bolling Pot) จากนั้นก็จะไหลผ่านที่ราบ ผ่านทางรถไฟ เชื่อมต่อระหว่างซิมบับเวกับแซมเบีย และบริเวณสะพานแห่งนี้เองก็จะเป็นที่ที่ใช้สำหรับโดดบันจี้จัมพ์ของผู้ที่รักความสะใจ เพราะที่นี่นับเป็นจุดโดดที่สูงที่สุดในโลก น้ำตกวิคตอเรียแห่งนี้ไม่เคยเหือดแห้ง สามารถผลิตน้ำได้ถึงห้าล้านคิวบิคเมตรต่อนาที ในช่วงหน้าฝน ช่วงที่คนมาเที่ยวมากที่สุดก็คือระหว่างเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายนเพราะทิวทัศน์จะสวยงาม มีละอองน้ำไม่มาก


















ชื่อสถานที่
ยอดเขาคิลิมานจาโร: Mount Kilimanjaro

สถานที่ตั้ง
ระหว่างประเทศแทนซาเนีย กับ เค็นย่า

ปัจจุบัน
สามารถเข้าเยี่ยมชมได้


บนเส้นรุ้ง3 องศา 4 ลิปดา ยอดเขาคิลิมานจาโร มีเสน่ห์ดึงดูดนักสำรวจ และนักท่องเขียนมาตั้งแต่ถูกค้นพบครั้งแรกโดย โยฮาน เรบมัน และลุดวิก คราปฟ์ หมอสอนศาสนา ชาวเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1848

ภูเขาลูกนี้มีสองยอด ทั้งสองเป็นภูเขาไฟที่เงียบสงบ ที่ชื่อว่า คิโบยอดสูงกว่า เป็นยอดที่สูงที่สุดในแอฟริกา มีโพรงลึกเป็นรูปกรวยลึกถึง 113 เมตร (370 ฟุต) แนวลึกด้านตรง 122 เมตร (400 ฟุต) ตัวภูเขาไฟคิโบยังมีร่องรอยของการคุกกร่น ไม่หมดเชื้อ คือยังควันปรากฎกลิ่นกำมะถันอยู่ มาเวนสีอีกยอดหนึ่งปรากฎอย่างเด่นชัดความลึกรูปกรวย ได้ถูกตบแต่งให้เป็นขั้นเป็นหลืบชั้น สำหรับให้นักไต่เขาได้ฝึกความชำนาญ

ภูเขาคิโบไต่ขึ้นไปได้ไม่สู้ยากนัก การเดินทางสูงขึ้นสร้างความแตกต่างของอากาศ ให้แก่ผู้ไต่เขาเป็นอย่างมาก บริเวณเชิงเขามีการกรรมเขตร้อน เช่น มีการปลูกกล้วย กาแฟ ส่วนตอนขึ้นถึงระดับเมฆจะมีป่าเขตอบอุ่น ตอนยอดเขาเป็นที่ว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยหิมะ

ตอนลาดล่างลงมาที่เป็นยอดคิลิมานจาโร มีสัตว์ป่าท่องเที่ยวหากินอยู่อย่างเสรีในธรรมชาติ ที่สงวนเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีพวก ช้าง แรด ควาย และละมั่ง มากมายช่วยให้ธรรมชาติเขตนั้น มีชีวิตชีวาและเป็นโลกทีเปลี่ยนแปลงไปแต่เพียงเล็กน้อยตั้งแต่มนุษย์เป็นนักล่าสัตว














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น